อาหารลดไขมันในเลือดได้เพียงแค่เราเปลี่ยนอาหารและพฤติกรรมการกิน ซึ่งหลายๆคนอาจไม่เคยสังเกตุตัวเองอาจจะเนื่องจากความเคยชิน ความเร่งรีบ จึงไม่ได้ใส่ใจในการเลือกรับประทานอาหารเท่าที่ควร บวกกับไม่เคยตรวจไขมันในเลือดเลย รู้ตัวอีกทีไขมันในเลือดก็สูงทะลุเพดานไปแล้ว วันนี้อินทัชเมดิแคร์เลยเอาเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอาหารลดไขมันในเลือด มาฝากกันค่ะ จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย
หัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาหารลดไขมันในเลือด
ปริมาณไขมันและน้ำมันที่ควรได้รับในแต่ละวันไม่ควรรับประทานเกิน 6 ช้อนชา (30 มิลลิลิตร) หากร่างกายของเรามีการรับประทานไขมันที่มาเกินไปทำให้เราเสี่ยงเกิดโรคอ้วนได้ โดยทางสำนักโภชนาการ ได้กำหนดไว้ว่าในแต่ละช่วงวัยควรบริโภคไขมันต่อวัน ดังนี้
เด็กทารกแรกเกิด-เดือน ควรบริโภคน้ำนมแม่ ประมาณร้อยละ 40-60 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน
เด็กทารก 6-11 เดือน ควรบริโภคไขมันในปริมาณร้อยละ 35-40 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน
เด็กอายุ 1-2 ปี ควรบริโภคไขมันในปริมาณร้อยละ 35-40 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน
เด็กอายุ 2-8 ปี ควรบริโภคไขมันในปริมาณร้อยละ 25-35 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน
เด็กวัยรุ่น 9-18 ปี ควรบริโภคไขมันในปริมาณร้อยละ 25-35 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน
ผู้ใหญ่ สตรีมีครรภ์ ผู้ให้นมบุตร และผู้สูงอายุ ควรบริโภคไขมันในปริมาณร้อยละ 20-35 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน
หากสังเกตุที่ฉลากของอาหารแต่ละประเภทเรามักจะพบคำโฆษณาข้างฉลาก เช่น นมไขมันต่ำ แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคำเหล่านั้นสามารถบริโภคได้มากหรือน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นก่อนจะพลาดเราลองมาเช็คกันดีกว่าว่าความหมายจริงๆของคำโฆษณาเหล่านั้นมันคือออะไร เพื่อเป็นตัวช่วยในการเลือกอาหารลดไขมันในเลือด
คือ มีการให้ปริมาณของพลังงานที่มากกว่า 40 กิโลแคลอรี่ต่อ 1 หน่วยบริโภค หรือก็คือคุณสามารถบริโภคได้ไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)
คือ มีการให้ปริมาณของพลังงานที่น้อยกว่า 5 กิโลแคลอรี่ ต่อ 1 หน่วยบริโภค ไม่ใช่ไม่ได้รับพลังงานเลย
3. เป็นแหล่งของโปรตีน (Source of protien)
คือ มีปริมาณของโปรตีนที่ไม่น้อยกว่า 5 กรัม ต่อ 1 หน่วยบริโภค
คือ มีปริมาณของโปรตีนไม่น้อยไปกว่า 10 กรัมต่อ 1 หน่วยบริโภค
คือ มีไขมันที่น้อยกว่า 0.5 กรัม ต่อหน่วยบริโภค ซึ่งก็หมายความว่ายังมีไขมันอยู่นั่นเอง เวลาที่จะบริโภคก็ต้องระวังนิดนึง
คือ มีไขมันอิ่มตัวน้อยกว่า 3 กรัมต่อ 1 หน่วย บริโภค
คือ มีไขมันลดลงอย่างน้อย 25% ต่อ 1 หน่วยบริโภค
คือ มีไขมันน้อยกว่า 3 กรัม ต่อหน่วยบริโภค หรือก็คือควรบริโภคไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะ ( 30 กรัม)
คือ มีคอเลสเตอรอลน้อยกว่า 2 มิลลิกรัมต่อ 1 หน่วยบริโภค อันนี้ต้องระวังเช่นกันเพราะว่ายังคงมีคอเรสเตอรอล
คือ มีคอเลสเตอรอลที่ลดลงอย่างน้อย 25% ต่อ 1 หน่วยบริโภค (โดยเทียบกับอาหารที่ทำการอ้างอิง)
คือ มีคอเลสเตอรอลน้อยกว่า 20 มิลลิกรัม ต่อ 1 หน่วยบริโภค หรือไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)
ไขมันทรานส์ (Trans fat) คือ ไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งไขมันชนิดนี้สามารถพบได้จากทางธรรมชาติ และผ่านกรรมวิธีการเติมไฮโดรเจน (Hydrogenation) เข้าไปในน้ำมันบางส่วนซึ่งของชนิดนั้นก็จะมีสภาพแข็งขึ้นหรือเป็นของกึ่งของเหลว เพื่อให้หน้าตาของอาหารดูดีขึ้นหรือยืดอายุของอาหาร อาหารที่เป็นไขมันทรานส์ เช่น เนย นมข้นหวาน มาการีน เป็นต้น ซึ่งการเลือกทานอาหารลดไขมันในเลือด ควรคำนึงถึงไขมันทรานส์ด้วยเพราะเป็นตัวการอีกตัวที่ทำให้ค่าไขมันร้ายสูงขึ้น
การรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์มากๆสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคหลอดเลือดแดงแข็ง และโรคเส้นเลือดอุดตันในสมอง
หากทานมากไปจะเป็นลดไขมันดี (HDL) แล้วยังไปเพิ่มไขมันร้าย (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ให้มากขึ้น
ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคอ้วน เนื่องจากน้ำหนักที่มากขึ้นและการสะสมของไขมัน และโรคมะเร็ง
ปัจจุบันอาหารที่เรารับประทานนั้นแฝงไปด้วยไขมันทรานส์นั้นมีอยู่มากมาย โดยเฉพาะในขนมขบเคี้ยวที่ยิ่งรับประทานก็ยิ่งหยุดไม่ได้ รู้ตัวอีกทีไขมันร้ายก็พุ่งสูงขึ้นไปแล้ว ซึ่งอาหารที่พบไขมันทรานส์ได้บ่อย ได้แก่
มาร์การีน เนยขาว ครีม ครีมเทียม และครีมเทียมข้นหวาน
ขนมหวานเบเกอรี่ เช่น เค้ก แยมโรล โดนัท คุ้กกี้ พาย บราวนี่ ขนมปังเนยสด
อาหารฟาสฟู้ด เช่น ไก่ทอด เฟรนซ์ฟรายด์ แฮมเบอร์เกอร์
ในเนื้อวัวก็สามารถพบไขมันทรานส์ได้บ้างเช่นกัน ซึ่งจะเป็นไขมันทรานส์จากธรรมชาติ รวมไปถึงในนมด้วย
อาหารเป็นเพียงหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ไขมันในเลือดสูงขึ้น เพราะฉะนั้นหากต้องการให้ตัวของคุณเองอยู่ห่างไกลจากความเสี่ยงก็อย่าลืมหมั่นดูแลตัวเอง พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และอย่าลืมมาตรวจสุขภาพประจำปีและตรวจไขมันในเลือดโดยเฉพาะคนที่ตรวจพบว่ามีไขมันสูง เพื่อป้องกันตัวเองจากโรคแทรกซ้อน