คลินิกตรวจรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (โรคติดต่อทางเพสสัมพันธุ์)

คลินิกตรวจรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

 

ในปัจจุบันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังคงเป็นโรคที่มีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกปี เนื่องจากการอยู่ร่วมกันก่อนแต่งในวัยรุ่น หนุ่มสาว ผู้ใหญ่วัยทำงานก็เช่นกัน โดยส่วนใหญ่ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในด้านการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เท่าไรนัก ส่งผลให้คู่รักหลายคู่ต้องเผชิญกับอาการไม่พึงประสงค์จากการมีเพศสัมพันธ์ รุกรามไปจนถึงขั้นร้ายแรง ไม่ยอมไปพบแพทย์เนื่องด้วยความอาย 

 

จากสิ่งที่ไม่เข้าใจดังที่กล่าวข้างต้น วันนี้อินทัชเมดิแคร์จะมาไขข้อสงสัยให้กับคนที่ยังไม่มีความเข้าใจ รวมทั้งผู้ที่กำลังเผชิญกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่ ให้ทราบถึงความสำคัญในการดูแลรักษาตัวเอง และการป้องกันโรคได้ในเบื้องต้นให้เข้าใจได้ง่ายๆ ไปดูกันเลยค่ะ

 

- โรคหูดหงอนไก่

- โรคซิฟิลิส

- แผลริมอ่อน

- เริม

- หนองใน

- หนองในเทียม

- พยาธิในช่องคลอด

- โรคไวรัสตับอักเสบบี ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

- โรคเอดส์ ติดเชื้อเอชไอวี

- โรคมะเร็งปากมดลูก ติดเชื้อเอชพีวี

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์คืออะไร

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Disease) คือกลุ่มโรคที่ติดต่อจากคนสู่คน ซึ่งส่วนใหญ่ติดต่อจากการร่วมเพศ ระหว่างชายและหญิง ตลอดจนเพศสัมพันธ์ของกลุ่ม LGBT ด้วย โรคบางโรคติดต่อจากการสัมผัสทางใดทางหนึ่งได้แก่ ทางปาก ช่องคลอด หรือทวารหนัก และโรคกลุ่มนี้สามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกได้ มีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์อย่างถูกต้องและปฏิบัติตนให้ถูกวิธี


โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  (Sexually Transmitted Disease) มีชื่อเรียกโดยย่อว่า STD แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักอาการ

1. แผลบริเวณอวัยวะเพศ (Genital ulcer) ได้แก่

โรคหูดหงอนไก่

1.1. โรคหูดหงอนไก่ (Condyloma acuminate, Genital wart)

  • เกิดจากเชื้อ HPV type 6,11

  • ระยะฟักตัว (Incubation period) ประมาณ 3 เดือน

  • อาการ ติ่งเนื้อยื่นออกมาจากผิว สีชมพู กระจายออกทางด้านบน คล้ายหงอนไก่หรือดอกกะหล่ำ พบได้บ่อยบริเวณรอบปากช่องคลอด ใต้ผนังหุ้มปลายองคชาติ


 โรคซิฟิลิส

1.2. โรคซิฟิลิส (Syphilis)

  • เกิดจากเชื้อ Treponema pallidum

  • ระยะฟักตัว (Incubation period) 10-90 วัน

  • อาการแบ่งเป็น 4 ระยะ คือ

ระยะที่ 1 : (Primary Syphilis) เกิดแผลริมแข็ง โดยแผลนี้จะไม่มีอาการปวด

ระยะที่ 2 : (Secondary Syphilis) แผลริมแข็งหายไป มีไข้ ปวดตามกล้ามเนื้อ เจ็บคอ มีผื่นขึ้นตามฝ่ามือ-ฝ่าเท้าหรือทั่วร่างกาย

ระยะที่แฝง : (Latent Syphilis) มักไม่มีอาการแสดงใดๆ

ระยะที่ 3 : (Tertiary Syphilis) เชื้อเข้าไปทำลายระบบสมอง และอวัยวะต่างๆ 


แผลริมอ่อน

1.3. แผลริมอ่อน (Chancroid)

  • เกิดจากเชื้อ Haemophilus ducreyi

  • ระยะฟักตัว (Incubation period) 2-5 วัน

  • อาการ แผลมักมีหลายแผล ขอบรุ่งริ่ง เจ็บมาก

เริม

1.4. เริม (Herpes genitalis)

  • เกิดจากเชื้อ HSV type 2

  • ระยะฟักตัว (Incubation period) 3-7 วัน

  • อาการ เม็ดตุ่มพองบริเวณอวัยวะเพศ ปวดแสบร้อน หากแตกจะเป็นแผลตื้นและเจ็บ

2. ตกขาวผิดปกติ (Genital discharge) ได้แก่

โรคหนองในแท้

2.1. หนองใน (Gonorrhea)

  • เกิดจากเชื้อ  Neisseria gonorrhoeae

  • ระยะฟักตัว (Incubation period) 3-5 วัน

  • อาการ ได้แก่ ผู้ชาย หนองเขียวเหลืองออกจากปลายอวัยวะเพศ ปัสสาวะขัด / ผู้หญิง ตกขาวสีเขียวเหลือง ปัสสาวะขัด ปวดหน่วงท้องน้อย

โรคหนองในเทียม

2.2. หนองในเทียม (Non-gonococcal urethritis : NGU)

  • เกิดจากเชื้อ Chlamydia trachomatis

  • ระยะฟักตัว (Incubation period) 5-7 วัน 

  • อาการ คล้ายหนองในแท้ แต่จะแตกต่างตรงที่หนองในเทียมไม่ได้มีสาเหตุของโรคมาจากการติดเชื้อ Neisseria gonorrhoeae

พยาธิในช่องคลอด

2.3. พยาธิในช่องคลอด (Trichomonas vaginalis)

  • เกิดจากเชื้อ Trichomonas vaginalis

  • ระยะฟักตัว (Incubation period) 5 - 28 วัน

  • อาการ ตกขาวสีเขียวปนเทา เข้ม,กลิ่นเหม็น, มีฟองมากและดัน

3. อื่นๆ ได้แก่

โรคไวรัสตับอักเสบบี

3.1. โรคไวรัสตับอักเสบบี ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV)

  • เกิดจากเชื้อ Hepatitis B virus (HBV)

  • ระยะฟักตัว (Incubation period) 30 - 180 วัน

  • อาการ หลังจากระยะฟักตัวอาจมีอาการไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน และเจ็บที่ชายโครงขวา หลักจากนั้นจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลืองตามมาได้ หากติดเชื้อเรื้อรัง เซลล์ตับถูกทำลายมากขึ้น อาจจะกลายเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้ในที่สุด

  • วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไวรัสตับอักเสบบี คือการสร้างภูมิคุ้มกัน โดยการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

เชื้อเอชไอวี

3.2. โรคเอดส์ ติดเชื้อเอชไอวี (HIV)

  • เกิดจากเชื้อ human immunodeficiency virus (HIV)

  • ระยะฟักตัว (Incubation period) 1 - 4 สัปดาห์

  • อาการ ระยะแรกเริ่มของการติดเชื้อ อาจมีอาหารไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว ผื่นขั้น หรือต่อมน้ำเหลืองที่คอโต สามารถหายเองได้ หากไม่ได้วินิจฉัยตรวจเลือดผู้ติดเชื้อมักจะแข็งแรงปกติ แต่เชื้อไวรัสจะทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย และเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 จนมีระดับต่ำกว่า 200 เข้าสู่ระยะท้ายของการติดเชื้อและโรคเอดส์ (AIDS)

โรคมะเร็งปากมดลูก

3.3. โรคมะเร็งปากมดลูก ติดเชื้อเอชพีวี  (HPV)


ข้อควรปฏิบัติเมื่อเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  1. ควรงดร่วมเพศ รวมทั้งสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค

  2. ไม่ควรซื้อยารักษาด้วยตัวเอง ควรเข้าตรวจรักษากับแพทย์เท่านั้น เพราะอาจทำให้เชื้อดื้อ

  3. ยารักษาไม่หาย การเข้ารักษากับแพทย์โดยตรงจะส่งผลดีกับคนไข้และได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องในการรักษา

  4. ไปตรวจรักษาตามนัดทุกครั้ง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

  5. ควรแจ้งให้สามี/ภรรยาทราบ และควรพาคู่นอนไปตรวจรักษาด้วยโดยเร็วที่สุดเมื่อทราบว่าตนเองเป็นโรค

  6. เมื่อตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ควรเจาะเลือดตรวจหาเชื้อเอชไอวีด้วย

  7. ในกรณีเกิดหนองในผู้ชายไม่ควรรีดอวัยวะเพศเพื่อดูหนองเพราะจะทำให้เกิดอาการอักเสบมากขึ้น

  8. รักษาอวัยวะเพศและบริเวณใกล้เคียงให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ

  9. ควรงดดื่มเหล้า-เบียร์และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด


ข้อควรปฏิบัติเมื่อเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์


ใครบ้างที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  1. การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก ทางทวารหนัก

  2. การใช้สารเสพติด รวมถึงใช้อุปกรณ์เสริมทางเพศร่วมกัน

  3. มีเพศสัมพันธ์กับหญิงหรือชายให้บริการทางเพศโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

  4. มีคู่เพศสัมพันธ์มากกว่า 1 คน 

  5.  มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือ ถุงยางอนามัยแตก รั่ว หลุด (ช่องทางใดช่องทางหนึ่งหรือทุกช่องทาง ที่ใช้ในการมีเพศสัมพันธ์)

  6. คู่เพศสัมพันธ์เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  7. มีประวัติการป่วยติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ตั้งแต่ 1 ครั้งขึ้นไปในรอบปีที่ผ่านมา

กลุ่มเสี่ยงที่จะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

วิธีการป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

วิธีการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุดคือการงดการมีเพศสัมพันธ์ แต่หากไม่สามารถงดได้ต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้

  1. ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆและสามารถป้องกันได้โดยการที่ผู้ชายต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

  2. ต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง โดยเฉพาะกรณีมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า

  3. ห้ามร่วมเพศหากมีประจำเดือนเพราะจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงของการติดโรคมากขึ้น

  4. ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักเพราะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ

  5. ควรตรวจเลือดประจำปีทุกครั้งเพื่อหาเชื้อโรคในกลุ่มที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะคู่ที่แต่งงานใหม่ การพบแพทย์เป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรค หากเป็นในระยะแรกก็จะรักษาได้ทันท่วงที

 วิธีการป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์


โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นโรคที่ผู้ป่วยมักจะเกิดความอายเมื่อต้องมาพบแพทย์ บางรายปล่อยไว้ไม่กล้ามารักษา รวมทั้งขาดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรค จนทำให้เกิดการรุกรามของโรครวมไปถึงการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นด้วย

 

ดังนั้นเมื่อเป็นโรคแล้วผู้ป่วยต้องละความอายเข้าพบแพทย์และมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องรักษาร่วมกับสามี-ภรรยาหรือคู่นอนที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันการติดเชื้อช้ำและลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดตามมาในระยะยาว


เอกสารอ้างอิง

  • บทความโรคหนองใน คืออะไร? ,สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

  • บทความการติดตามผู้สัมผัสโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้, เวชบันทึกศิริราช

  • ผศ.ดร.เด่นพงศ์ พัฒนเศรษฐานนท์ ,โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted disease) .สาขาวิชาเภสัชกรรมคลินิก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

 


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
   Hot Line 081-562-7722 กดโทรออก

  @qns9056c
  อินทัชเมดิแคร์คลินิกเวชกรรม

 


เรียบเรียงโดย พญ.สุพรรษา เหนียวบุบผา
  แก้ไขล่าสุด : 28/11/2022

web counter widget
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้