น้ำในหูไม่เท่ากัน หรือ โรคมีเนียร์ (Meniere’s disease) เป็นสาเหตุโรคที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้ป่วยที่แสดงอาการวิงเวียนศีรษะ เป็นโรคที่มีความผิดปกติของหูชั้นใน โดยมีการคั่งของน้ำหรือความดันในหูชั้นในที่มากผิดปกติ จากการสร้างน้ำและดูดกลับน้ำในหูชั้นในไม่สมดุลกัน ทำให้การไหลเวียนไม่สะดวก อาจส่งผลให้มีการขัดขวางการทำงานของกระแสประสาททั้งระบบการทรงตัวและระบบการได้ยินผิดปกติได้
หัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
สาเหตุของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด มีการสันนิษฐานถึงปัจจัยที่อาจจะเป็นสาเหตุ ดังต่อไปนี้
การบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ
โรคที่มีการอักเสบของหูชั้นกลางและหูชั้นใน
โรคทางพันธุกรรม
การติดเชื้อไวรัส
มีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน
มีอาการปวดศีรษะไมเกรน เป็นโรคภูมิแพ้
การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด การสูบบุหรี่
และพฤติกรรมการทานอาหารที่มีปริมาณเกลือโซเดียมสูง อาหารรสเค็ม
"โดยที่อัตราการเกิดโรคนี้พบได้ทุกช่วงอายุทั้งเพศชายและหญิง โรคนี้พบได้บ่อยในช่วงอายุ 30-60 ปี โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักมีความผิดปกติของหูข้างใดข้างหนึ่ง แต่บางคนก็มีความผิดปกติของหูทั้งสองข้างได้" |
มีอาการแน่นหู
หูอื้อเป็นๆ หายๆ มีเสียงดังในหู
อาการทนเสียงดังไม่ได้ การได้ยินบางครั้งดีขึ้น
หากมีอาการเรื้อรัง การได้ยินอาจจะลดลงหรืออันตรายจนถึงขั้นสูญเสียการได้ยินได้
อาการบ้านหมุน เวียนหัวบ้านหมุน
สูญเสียการทรงตัว ร่วมกับการสูญเสียสมดุลของร่างกาย ทำให้มีอาการเดินเซได้
มักจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออกร่วมด้วย โดยอาการเวียนศีรษะเกิดขึ้นต่อเนื่องนานมากกว่าครึ่งชั่วโมงหรือเป็นวัน มีความรุนแรงจนบางครั้งไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
จากการศึกษาของทางกลุ่มศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านโสต ศอ นาสิก "ในโรคกลุ่มอาการของผู้ที่มีเสียงในหู น้ำในหูไม่เท่ากัน บ่งบอกว่าเป็นอาการของการขาดวิตามินบี" เพื่อมาใช้ในการรักษาหรือในการบำรุงเสริมสร้างเชลล์ประสาทเพื่อให้อาการดีขึ้น แต่อย่างไรก็ดีปัจจุบันจากหลักฐานทางวิชา ไม่พบความสัมพันธ์กับระดับวิตามินบี ในเลือดของผู้ป่วยแต่อย่างใด
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ไม่มีวิธีรักษาที่ทำให้โรคหายขาดได้ และเนื่องจากยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าสาเหตุของโรคเกิดจากอะไร จึงยังไม่มีวิธีป้องกันที่ต้นเหตุ แต่อาการของผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถควบคุมได้ด้วยยาและการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ซึ่งมีแนวทางการรักษาดังต่อไปนี้
การรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการ พบว่าได้ผลร้อยละ 70 - 90 ได้แก่ ยาขยายหลอดเลือด ยาบำรุงประสาท ยาแก้อาการเวียนศีรษะ หรือคลื่นไส้ อาเจียน ยากล่อมประสาทหรือยานอนหลับ การรับประทานยาขับปัสสาวะ จะทำให้น้ำคั่งในหูชั้นในน้อยลง จะช่วยให้อาการดีขึ้นหลัง
การปฏิบัติตัวและการดูแลร่างกาย ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
การฉีดยา การฉีดยาเข้าไปที่หูชั้นในโดยตรง เพื่อทำลายเซลล์ที่ก่อให้เกิดอาการเวียนศีรษะ และเมื่อเซลล์ตายอาการดังกล่าวจะหายไป โดยไม่ต้องทำการผ่าตัดรักษา
ถ้าอาการไม่ดีขึ้นอาจจะต้องเข้ารับการผ่าตัด เพื่อระบายน้ำที่คั่งอยู่ในหูชั้นใน จะทำเมื่อให้ยารักษาเต็มที่แล้วยังมีอาการ โดยเฉพาะอาการเวียนศีรษะไม่ดีขึ้น และรบกวนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมากขึ้น
เมื่อมีอาการวิงเวียนศีรษะขณะเดิน ควรหยุดเดิน นั่งพักและรับประทานยาอาจทำให้ล้ม เกิดอุบัติเหตุได้
ทานอาหารให้ครบทุกหมู่ และถูกต้องตามหลักอนามัย
พักผ่อนให้เพียงพอ โดยเฉพาะในเวลานอนหลับ หากมีเสียงรบกวนในหูมากก็จะทำให้นอนไม่หลับ แนะนำให้เปิดเพลงอย่างเบาๆ ในขณะนอน เพื่อที่จะกลบเสียงที่รบกวนในหูได้
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และงดอาหารเค็ม ควรจำกัดความเค็ม เพราะเกลือโซเดียม จะทำให้มีการคั่งของน้ำในร่างกายและในหูชั้นในมากขึ้น อาจจะทำให้อาการแย่ลงได้
ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางโดยทางเรือเพราะทำให้เวียนศีรษะมากขึ้นได้
หลีกเลี่ยงสารคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่เพราะจะทำให้อาการของโรคแย่ลง
หลีกเลี่ยงภาวะความตึงเครียดหรือกังวล ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระตุ้นทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะได้
หลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่มีเสียงดังมาก ๆ
ขณะมีอาการเวียนศรีษะควรหลีกเลี่ยงการขับรถ ว่ายน้ำ การปีนป่ายในที่สูง การใช้ของมีคมหรือเครื่องจักร ต้องหยุดทำกิจกรรมทันทีแล้วนั่งหรือนอนพัก เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือเสี่ยงอันตรายได้
หากมีอาการวิงเวียนศีรษะมาก ควรนอนบนพื้นราบที่ไม่มีการเคลื่อนไหว และให้นอนหนุนศีรษะให้สูงขึ้นเล็กน้อย ควรมองไปยังวัตถุที่อยู่นิ่ง ไม่เคลื่อนไหวศีรษะหรือเคลื่อนไหวให้ช้าลง จะช่วยบรรเทาอาการเวียนหัวบ้านหมุนได้
หลีกเลี่ยงท่าทางที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะในระหว่างเกิดอาการ เช่น การหมุนหันศีรษะเร็วๆ
การเปลี่ยนแปลงท่าทาง อิริยาบถอย่างรวดเร็ว เช่น การก้ม การเงยคอ หรือหันศรีษะอย่างเต็มแรง
อาการบ้านหมุน หรือมีอาการเดินเซร่วมด้วย ส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติของระบบการทรงตัวของร่างกายอย่าง หูชั้นในหรือสมอง ซึ่งการบำบัดด้วยวิธีการบริหารร่างกายนั้นเป็นการฝึกเพื่อปรับสมดุลของการทรงตัว ทำให้อาการเวียนหัวที่เป็นอยู่บรรเทาอาการลงได้
"ดังนั้น ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหูชั้นใน แต่ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหักโหม โดยที่สามารถออกกำลังกายเบาๆ ที่พอมีเหงื่อออกได้บ้าง แต่หากมีอาการผิดปกติในระหว่างนั้น ควรจะหยุดทันที"
กิจกรรมการออกกำลังกาย เล่นกีฬาเบาๆ ที่ชอบ เช่น การโยนลูกบอลไป-กลับ การเลี้ยงลูกบาส การฝึกทำโยคะ เป็นการฝึกควบคุมลมหายใจ จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ถ้าฝึกเป็นประจำก็จะช่วยให้การเคลื่อนที่ของของเหลวในหูชั้นในและสามารถกระตุ้นอวัยวะรับความรู้สึกในหูชั้นใน ให้ทำงานได้ดีขึ้น
ถึงแม้น้ำในหูไม่เท่ากัน จะไม่มีวิธีรักษาที่ทำให้โรคหายขาด แต่อาการของผู้ป่วย ส่วนใหญ่สามารถควบคุมได้ด้วยยาและมีแนวทางการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง กรณีที่เป็นไม่มาก ใช้ยากินเพื่อควบคุมอาการได้ สามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงคนปกติได้ หากผู้ป่วยมีอาการที่รุนแรงมากขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และส่งตรวจสืบค้นเพิ่มเติม เพื่อให้ได้การวินิจฉัย สาเหตุของอาการเวียนศีรษะ และเพื่อการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
บทความที่น่าสนใจ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
Hot Line 081-562-7722 กดโทรออก
เรียบเรียงโดย พญ.สุพิชชา บึงจันทร์
แก้ไขล่าสุด : 14/02/2024