HIV กับ เอดส์ หรือ AIDS เป็นเรื่องที่หลายคนเข้าใจผิดว่า คิดว่าทั้งสองคือโรคเดียวกัน เนื่องจากเป็นเชื้อเริ่มต้นที่จะพาไปสู่การเป็นโรคเอดส์ ซึ่งความจริงแล้วตัวเชื้อ HIV เป็นเพียงแค่โรคที่ทำให้ ภูมิต้านทานในร่างกายอ่อนแอเท่านั้น หากมีการรักษาอย่างถูกวิธีก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้แบบปกติ ส่วนโรคเอดส์ จะทำให้มีระดับภูมิต้านทานต่ำลงมาก ทำให้ร่างกายได้รับโรคแทรกซ้อนได้ง่าย มีลักษณะรอยโรคบางอย่างที่จำเพาะ อย่างมะเร็งบางชนิด หรือการติดเชื้อที่รุนแรงบางตัวที่เป็นเอกลักษณ์
หากสงสัยว่าตัวเองมีความเสี่ยง แนะนำให้ตรวจคัดกรองเอชไอวี ได้ที่คลินิกเวชกรรมใกล้บ้าน ตรวจกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ในราคาสบายกระเป๋า การจัดเก็บข้อมูลทุกอย่างของคุณเป็นความลับ สามารถรับบริการ ยาเป๊ป pep ยาต้านฉุกเฉิน และตรวจ HIV ด้วยชุดตรวจที่ได้มาตรฐาน รู้ผลเร็ว ดูสาธิตการใช้ชุดตรวจได้เลยค่ะ Strip Anti HIV แบบ One Step Test
HIV เป็นไวรัสที่ทำการโจมตีร่างกายเราและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง หลังจากเชื้อ HIVสามารถเข้าสู่ร่างกายได้แล้ว มันจะมีเป้าหมายในการบุกทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4+ ที่มีความสำคัญต่อการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย จนภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลง เชื้อ HIV ก็จะกลายเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ต่อมา ซึ่งใช่ระยะเวลานานมากกว่าจะกลายมาเป็นโรค เอดส์
การติดเชื้อ HIV เกิดจากสารคัดหลั่งจากร่างกายของผู้ที่มีเชื้อ HIV ได้เข้าสู่กระแสเลือดของอีกคนหนึ่งเท่านั้น สารคัดหลั่งจากร่างกาย เช่น เลือด น้ำอสุจิ น้ำเมือกในช่องคลอด และน้ำนมแม่
AIDS ย่อมาจาก Acquired Immunodeficiency Syndrome (แอคไควร์ อิมมูน เดฟฟิเชียนซี ซิน โดรม) หรือ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
Acquired หมายถึง ภาวะที่เกิดขึ้นในภายหลังมิได้เป็นมาแต่กำเนิด หรือสืบสายเลือดทางพันธุกรรม
Immuno หมายถึง เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
Deficiency หมายถึง ความบกพร่อง ความเสื่อมหรือการขาด
Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการ ซึ่งเป็นโรคที่มีอาการหลาย ๆ อย่าง ไม่เฉพาะที่ระบบใดระบบหนึ่ง
โรคเอดส์ คือ ภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลายลงอย่างรุนแรง เป็นผลมาจากการติดเชื้อ HIV เมื่อการติดเชื้อ HIV ไม่ได้รับการรักษาหรือมีการจัดการที่ไม่ดี เชื้อสามารถพัฒนาไปสู่โรคเอดส์ได้ ผู้ที่เป็นโรคเอดส์มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงอย่างมาก และมีความอ่อนไหวต่อการติดโรคฉวยโอกาสและมะเร็งได้หลายชนิด แถมการรักษายังเป็นเรื่องที่ยากกว่าปกติ นอกจากนี้เมื่อหายดีแล้วก็มีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้
เมื่อได้รับเชื้อ HIV แล้วในระยะแรกจะยังไม่มีอาการ โดยทั่วไปผู้ติดเชื้อ HIV จะเกิดอาการป่วยภายใน 8 - 10 ปี (สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย) โดยที่เชื้อไวรัสเอดส์สามารถเข้าไปอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-Lympho-cyte เพราะมีลักษณะพิเศษจากไวรัสอื่น คือเชื้อจะอยู่ในร่างกายได้ตลอดไป รอดพันจากการถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย และสามารถกระตุ้นเซลล์บางชนิดของร่างกายได้ เช่น เกิดมะเร็งได้
แต่ในบางกรณี ผู้ที่ติดเชื้อ HIV อาจรู้สึกไม่สบาย มีอาการปวดเมื่อย มีอาการคล้ายเป็นหวัด มีไข้ อ่อนเพลีย มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง รวมทั้งตอนกลางคืนมีเหงื่อออกขณะนอนหลับ
หากคุณพบว่าตัวเองมีความเสี่ยงที่อาจจะติดเชื้อ HIV กับ เอดส์ ( AIDS) ควรหมั่นไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลใกล้เคียงเป็นประจำ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง และคนรอบข้าง ที่สำคัญเมื่อรู้ตัวเร็ว เราจะสามารถเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที เพราะการติดเชื้อ HIV สามารถรักษาได้ และการรับยาเพร็พ PrEP ป้องกันเอชไอวี HIV มาทานเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ห่างไกลจากโรคเอดส์
การจามหรือการไอ
การจูบ การกอด หรือร้องไห้
การถูกยุงกัด หรือโดนแมลงต่อย
การบริจาคเลือด
พื้นผิวหรือวัตถุต่างๆ เพราะเชื้อไม่สามารถอยู่นอกร่างกายได้นาน
การใช้ห้องอาบน้ำ ห้องส้วม ร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ HIV
การนอนร่วมเตียงเดียวกันกับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี
การทานอาหารร่วมกันกับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี
ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน โดยไม่ป้องกัน มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการติดเชื้อ HIV และเป็นโรคเอดส์
การใช้เข็มฉีดยาหรืออุปกรณ์ฉีดอื่นๆ ร่วมกัน ที่อาจมีการปนเปื้อนของเลือดสามารถติดเชื้อได้
เด็กสามารถติดเชื้อ HIV ได้จากการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดบุตร หรือการให้นมบุตร หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เด็กที่ติดเชื้อ HIV จะเป็นโรคเอดส์และเสียชีวิตก่อนอายุห้าขวบ
การเจาะ และการสัก ตามร่างกายที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อโรคอย่างถูกต้อง
การติดเชื้อสามารถรักษาได้ หากคุณรู้ทันอาการเบื้องต้น และการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้ตามปกติทั่วไป สามารถมีครอบครัวได้ มีเพศสัมพันธ์ได้ แต่ต้องมีการป้องกัน เพื่อป้องกันร่างกายไม่ให้ได้รับเชื้ออื่นๆ เข้ามา เพราะภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้มีเชื้้อมีความบกพร่อง อาจจะเกิดการเจ็บป่วยทรุดลงหนักได้
ดังนั้น จึงขอแนะนำให้หมั่นตรวจสุขภาพทุกปี และผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงหรือมีความกังวลว่าจะติดเชื้อ HIV อย่าลืมตรวจเลือดที่คลินิกใกล้ฉันหรือสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ และตรวจโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นประจำ